เมนู

เถรคาถา เอกนิบาต วรรคที่ 7


1. วัปปเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระวัปปเถระ


[198] ได้ยินว่า พระวัปปเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยทัสสนะ ย่อมเห็นคนอันธ-
พาล ผู้เห็นอยู่ด้วย ย่อมเห็นคนอันพาล ผู้ไม่เห็นอยู่
ด้วย ส่วนคนอันธพาลผู้ไม่สมบูรณ์ด้วยทัสสนะ ย่อม
ไม่เห็นคนอันธพาลผู้ไม่เห็น และคนอันธพาลผู้เห็น.

วรรควรรณนาที่ 7


อรรถกถาวัปปเถรคาถา


คาถาของท่านพระวัปปเถระ เริ่มต้นว่า ปสฺสติ ปสฺโส. เรื่องราว
ของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ
ท่านบังเกิดในเรือนมีตระกูล ในพระนครหงสาวดี ถึงความเป็นผู้รู้แล้ว
ฟังคำชมเชยว่า พระเถระรูปโน้น และรูปโน้น ได้เป็นผู้รับพระธรรมของ
พระศาสดาเป็นปฐม ดังนี้ จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ตั้งความ
ปรารถนาว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในอนาคตกาล ขอให้ข้าพระองค์

พึงเป็นภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง บรรดาภิกษุผู้รับ พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เช่นพระองค์เป็นปฐม ดังนี้ แล้วประกาศการถึงสรณคมน์ ในสำนักของ
พระศาสดา. ท่านทำบุญจนตลอดชีวิต จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ท่องเที่ยวไป
ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายนั่นแล เกิดเป็นบุตรพราหมณ์ นามว่า " วาเสฏฐะ "
ในกรุงกบิลพัสดุ์ ในพุทธุปบาทกาลนี้ ท่านได้มีนามว่า วัปปะ. วัปปพราหมณ์
(เมื่อ) อสิตฤษีพยากรณ์ว่า สิทธัตถกุมาร จักเป็นพระสัพพัญญู จึงพร้อม
ด้วยบุตรของพราหมณ์ มีพราหมณ์ชื่อว่าโกณฑัญญะเป็นประมุข ละฆราวาส
วิสัย ออกบวชเป็นดาบส คิดว่า เมื่อสิทธัตถกุมารนั้นบรรลุพระสัพพัญ-
ญุตญาณแล้ว เราฟังธรรมในสำนักของพระองค์ แล้วจักบรรลุอมตธรรม จึง
เข้าไปอุปัฏฐาก พระมหาสัตว์ผู้ประทับอยู่ในอุรุเวลานิคม บำเพ็ญเพียรอยู่
ตลอด 6 ปี เกิดเบื่อหน่าย โดยเหตุที่พระมหาสัตว์กลับเสวยอาหารหยาบ จึง
(หลีก) ไปสู่ป่าอิสิปตนะ.
เมื่อพระบรมศาสดาตรัสรู้ (สัมมาสัมโพธิญาณ) แล้วทรงยังเวลาให้
ผ่านไปตลอด 7 สัปดาห์ แล้วจึงเสด็จไปสู่ป่าอิสิปตนะ ทรงแสดงธรรมจักร.
ท่านวัปปดาบส ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ในวันปาฏิบท แล้วบรรลุพระอรหัตผล
พร้อมด้วยอัญญาโกณฑัญญพราหมณ์เป็นต้น ในดิถีที่ 5 แห่งปักษ์. สมดัง
คาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
สงครามปรากฏแก่ท้าวเทวราชทั้งสอง (พระยา-
ยักษ์) กองทัพประชิดกันเป็นหมู่ ๆ เสียงอันดังกึกก้อง
ได้เป็นไป พระศาสดาทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ
ทรงรู้แจ้งโลก สมควรรับเครื่องบูชา ทรงยังมหาชน
ให้เกิดสังเวช เทวดาทั้งปวงมีใจยินดี ต่างวางเกราะ
และอาวุธ ถวายบังคมพระสัมพุทธเจ้า รวมเป็นอัน

เดียวกันได้ในขณะนั้น พระศาสดาผู้ทรงอนุเคราะห์
ทรงรู้แจ้งโลก ทรงทราบความดำริของเราแล้ว ทรง
เปล่งวาจาสัตบุรุษ ทรงยังมหาชนให้เย็นใจว่า ผู้เกิด
เป็นมนุษย์ มีจิตประทุษร้าย เบียดเบียนสัตว์เพียง
ตัวเดียว จะต้องเข้าถึงอบาย เพราะจิตประทุษร้ายนั้น
เปรียบเหมือนช้างในค่ายสงคราม เบียดเบียนสัตว์เป็น
อันมาก ท่านทั้งหลายจงยังจิตของตนให้เยือกเย็น อย่า
เดือดร้อนบ่อย ๆ เลย แม้พวกเสนาของพระยายักษ์
ทั้งสอง ได้ประชุมกัน นับถือพระโลกเชษฐ์ผู้คงที่
เป็นอันดี เป็นสรณะ ส่วนพระศาสดาผู้มีจักษุ ทรง
ยังหมู่ชนให้ยินยอมแล้ว ทรงเพ่งดูในเบื้องบนจาก
เทวดาทั้งหลาย บ่ายพระพักตร์ไปทางทิศอุดร เสด็จ
กลับไป เราได้นับถือพระองค์ผู้จอมประชา ผู้คงที่เป็น
สรณะก่อนใคร ๆ เราไม่ได้เข้าถึงทุคติเลยตลอดแสนกัป
ในกัปที่สามหมื่นแต่ภัทรกัปนี้ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
16 พระองค์ มีพระนามว่า มหาทุนทุภิ และพระนาม
ว่า รเถสภะ. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯ ล ฯ คำสอน
ของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.

ก็พระวัปปเถระ ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว พิจารณาถึงความที่
พระคุณของพระศาสดาเป็นของยิ่งใหญ่ โดยมุขคือการพิจารณาถึงสมบัติที่ตน
ได้แล้ว เมื่อจะแสดงว่า เราร้องเรียกพระศาสดา ผู้ (มีพระคุณ) เช่นนี้ ด้วย
วาทะว่า เวียนไปเพื่อความเป็นคนมักมาก โอ ขึ้นชื่อว่า ความเป็นปุถุชนกระทำ
ให้เป็นคนมืดมน กระทำให้เป็นคนไม่มีแวว ความเป็นพระอริยเจ้าเท่านั้น
กระทำให้เกิดดวงตา (เห็นธรรม) ดังนี้ ได้กล่าวคาถาว่า

บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยทัสสนะ ย่อมเห็นคนอันธ-
พาล ผู้เห็นอยู่ด้วย ย่อมเห็นคนอันธพาลผู้ไม่เห็นอยู่
ด้วย ส่วนคนอันพาลผู้ไม่สมบูรณ์ด้วยทัสสนะ ย่อม
ไม่เห็นคนอันธพาลผู้ไม่เห็น และคนอันธพาลผู้เห็น

ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปสฺสติ ปสฺโส ความว่า บุคคล ชื่อว่า
ปัสสะ เพราะเห็น คือรู้ ได้แก่ตรัสรู้ธรรมทั้งหลายได้ ไม่ผิดพลาดด้วย
สัมมาทิฏฐิ หมายถึงพระอริยบุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยทัสสนะ พระอริยบุคคลนั้น
ย่อมเห็นคนอันธพาลผู้เห็นอยู่ คือเห็นโดยไม่ผิดพลาด ว่าผู้นี้มีปกติเห็นธรรม
ไม่ผิดพลาด คือย่อมรู้ธรรม สมควรแก่ธรรม ด้วยปัญญาจักษุตามความ
เป็นจริง มิใช่เห็นเฉพาะคนอันธพาลผู้เห็นอยู่อย่างเดียวเท่านั้น โดยที่แท้แล้ว
ย่อมเห็นคนอันธพาลผู้ไม่เห็นอยู่ด้วย คือผู้ใดปราศจากปัญญาจักษุ ไม่เห็นธรรม
ทั้งหลาย ตามความเป็นจริง ย่อมเห็นปุถุชนผู้ไม่เห็นอยู่แม้นั้น ด้วยปัญญา
จักษุของตนว่า ผู้นี้เป็นคนมืดมน เป็นคนไม่มีดวงตา (เห็นธรรม) ดังนี้.
บทว่า อปสฺสนฺโต อปสฺสนฺตํ ปสฺสนฺตญฺจ น ปสฺสติ
ความว่า ส่วนคนอันธพาลผู้ปราศจากปัญญาจักษุ ผู้ไม่เห็นอยู่ ย่อมไม่เห็น
คนอันธพาลผู้เช่นนั้น ผู้ไม่เห็นอยู่ว่า ผู้นี้ไม่เห็นธรรมและอธรรมตามความ
เป็นจริง คือไม่รู้อยู่ ฉันใด ผู้ที่ไม่เห็นคือไม่รู้ธรรมและอธรรม ด้วยปัญญา
จักษุของตน และบัณฑิตผู้เห็นอยู่ตามความเป็นจริงว่า ผู้นี้เป็นอย่างนั้นก็ฉันนั้น
เพราะฉะนั้น พระเถระจึงแสดงข้อปฏิบัติอันไม่วิปริตของตน ในบุคคลที่ควรคบ
และไม่ควรคบว่า แม้เราผู้ปราศจากทัสสนะในกาลก่อน ไม่เห็นพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ผู้ทรงเห็นอยู่ซึ่งไญยธรรมทั้งสิ้น เหมือนเห็นมะขามป้อมในมือ (และ)
ศาสดาทั้ง 6 มีปูรณกัสสปะเป็นต้น ผู้ไม่เห็น(ธรรม) อยู่ ตามความเป็นจริงดังนี้.
จบอรรถกถาวัปปเถรคาถา

2. วัชชีปุตตกเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระวัชชีปุตตกเถระ


[199] ได้ยินว่า พระวัชชีปุตตกเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เราอยู่ในป่าแต่ผู้เดียว เหมือนท่อนไม้ที่เขาทิ้งไว้
ในป่า ชนเป็นอันมากพากันรักใคร่เรา เหมือนสัตว์-
นรก พากันรักใคร่บุคคลผู้ไปสู่สวรรค์ฉะนั้น.

อรรถกถาวัชชีปุตตกเถรคาถา


คาถาของท่านพระวัชชีปุตตกเถระ เริ่มต้นว่า เอกกา มยํ อรญฺเญ.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
ก็พระเถระนี้ เป็นผู้มีอธิการอันเคยกระทำไว้ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ
สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้น ๆ เกิดแล้วในเรือนมี
ตระกูล ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า วิปัสสี ในกัปที่
91 แต่ภัทรกัปนี้ ถึงความเป็นผู้รู้แล้ว วันหนึ่ง เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพระนามว่า วิปัสสี เป็นผู้มีใจเลื่อมใสแล้ว ได้ทำการบูชาด้วยเกสรดอก-
กระถินพิมาน. ท่านท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยบุญกรรมนั้น
เห็นพุทธานุภาพ ในคราวเสด็จไปพระนครไพศาลี ในพุทธุปบาทกาลนี้ มี
ศรัทธา บวชแล้ว กระทำบุรพกิจเสร็จแล้ว เรียนกัมมัฏฐานอยู่ในไพรสณฑ์
แห่งหนึ่ง ไม่ไกลพระนครไพศาลี.